วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เที่ยวโกเบ : อาริมะออนเซน (Arima Onsen)

อาริมะออนเซน (Arima Onsen)


อาริมะ เป็นแหล่งแช่น้ำแร่ออนเซนที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น อยู่ในเขตเมืองโกเบ จังหวัดเฮียวโงะ เชื่อว่าน้ำแร่ของที่นี่มีคุณสมบัติช่วยบำบัดรักษา โรคภัยต่างๆ ได้หลากหลาย เพราะว่ามีแร่ธาตุมากมาย ซึ่งนอกจากอาริมะจะมีจุดแช่น้ำแร่ทั้งแช่ตัว แช่เท้า หรือสำหรับดื่มอยู่หลายจุดแล้ว ก็ยังมีวัดเก่าแก่ รวมถึงสวนสวยๆ เหมาะสำหรับเดินเล่นในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีอีกด้วย อาริมะออนเซ็นถือเป็นเมืองแสนสงบที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทั้งร่างกายและจิตใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีทีเดียว ทำให้มีผู้มาเยือน Arima Onsen แห่งนี้ถึงปีละกว่า 1.6 ล้านคน


เชื่อกันว่า ศาลเจ้า Tousen Jinja นั้นเป็นสถานที่สถิตของเทพเจ้าผู้ปกป้องคุ้มครองอาริมะออนเซ็นและมีตำนานกล่าวขานกันว่าออนเซนแห่งนี้ถูกค้นพบโดย Onamuchi-no-mikoto และ Sukunahikona-no-mikoto สองเทพเจ้าที่ไปเยือนที่อาริมะ ระหว่างนั้นพบอีกาที่ได้รับบาดเจ็บ 3 ตัวมาดื่มน้ำที่นี่ เพียง 2 – 3  วัน อาการบาดเจ็บของพวกมันก็หายไป ทำให้เทพทั้งสองรู้ว่าบ่อน้ำที่นี่เป็นออนเซนชั้นดีที่รักษาอาการบาดเจ็บได้ และเกิดเป็นตำนานเกี่ยวกับอีกาทั้งสามแห่งอาริมะ หรือ Three crows of Arima ขึ้น


Arima Onsen มีชื่อเสียงในราชสำนักเป็นอย่างมาก ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิโจเม (Jomei, 593 – 641) รวมถึงจักรพรรดิโคโทขุ (Koutoku, 596 – 654) เรื่อยมา กระทั่งสมัยเอโดะ (Edo) อาริมะก็กลายเป็นพื้นที่ทรัพย์สินของแผ่นดินอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ภายหลังจึงมีการสร้างโรงอาบน้ำ (Bathhouse) ไว้รองรับนักเดินทางด้วย และพัฒนาขึ้นมาเป็นสถานที่ตากอากาศสำหรับแช่น้ำแร่ออนเซนที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน


ปัจจุบันนี้ Arima Onsen ถือเป็นออนเซนที่เก่าแก่และดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เทียบเคียงได้กับ Dogo Onsen ของจังหวัดเอฮิเมะ (Ehime Prefecture) บนเกาะชิโกกุ และ Shirahama Onsen ของจังหวัดวาคายาม่า (Wakayama Prefecture) ในแถบคันไซ 


Arima Onsen ตั้งอยู่ห่างจากย่านอุเมดะ ของจังหวัดโอซาก้าด้วยรถบัสเพียง 1 ชั่วโมง…

การเดินทาง
หากเดินทางโดยรถไฟจากสถานี Sannomiya หรือสถานี Shin-Kobe ของเมืองโกเบ ให้นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Tanigami ก็นั่งรถไฟสาย Shintetsu Arima-Sanda ไปลงที่สถานี Arima-guchi แล้วเปลี่ยนไปต่อสาย Arimaไปลงที่สถานี Arima Onsen ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 30 – 40 นาที โดยมีค่าใช้จ่ายไม่ถึง 1,000 เยน/One Way 

หากจะเดินทางผ่านไปทางภูเขารกโกะ (Mt. Rokko) ก็เริ่มต้นที่สถานี Sannomiya นั่งรถไฟ Hankyu Kobe Line ไปลงที่สถานี Rokko แล้วนั่งรถเมล์ Kobe City Bus สาย 16 ไปที่ Rokko Cablecarนั่งเคเบิ้ลคาร์ขึ้นเขาไป แล้วต่อรถบัส (เวียน) ไปที่ Rokko Arima Ropway เพื่อไปยัง Arima Onsen โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,200 เยน/One Way 



ติดต่อรายละเอียดเติม

ปราสาทชูริ (Shuri Castle) ปราการแห่งโอกินาวะ


ปราสาทชูริ (Shuri Castle) หรือที่ชาวโอกินาวะ เรียกว่า “Shuri Jo” นั้น เป็นศูนย์กลางการปกครองในสมัยที่อาณาจักรริวกิว* (The Kingdom of Ryukyus) ยังมีอิทธิพลอยู่ในดินแดนแทบนี้


อาณาจักรริวกิวนั้นครอบครองดินแดนหมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น (ปัจจุบัน) เมื่อประมาณ 450 ปีก่อน หรือราว ค.ศ. 1429 – 1879 โดยสมัยก่อนนั้นมีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในพื้นที่แถบนี้ และในที่สุด ราวปี 1429 โช ฮาชิ (Sho Hashi) ก็สามารถพิชิตดินแดนส่วนใหญ่ และสร้างบ้านสร้างเมืองให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมาจนได้ จึงเกิดเป็นอาณาจักรริวกิวและกำเนิดราชวงศ์โช (Sho Dynasty) ขึ้นมา


อาณาจักรริวกิวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะได้ทำการค้าและสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศข้างเคียง รวมทั้งจีน ญี่ปุ่น (เดิม) เกาหลี และประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนที่ในปี 1609 พวกซัตสึมะ (Satsuma Clan) จากญี่ปุ่นจะนำพลประมาณ 3,000 นาย มารุกรานอาณาจักรริวกิว จนช่วงชิงปราสาทชูริได้ ซึ่งแม้อาณาจักรริวกิวจะยังคงอยู่ต่อไปอีกกว่า 270 ปี แต่ก็อยู่ภายใต้การปกครองของพวก Satsuma และโชกุน Tokugawa กระทั่งปี 1879 ในช่วง Meiji Restoration รัฐบาลญี่ปุ่นก็ประกาศให้ดินแดนแถบนี้เป็น จังหวัดโอกินาวะ (Okinawa Prefecture) ทำให้อาณาจักรริวกิวสูญสลายไปในที่สุด ปราสาทชูริจึงเป็นเสมือนหลักฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของโอกินาวะ (และอาณาจักรริวกิว) ที่ญี่ปุ่นอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี 


อันที่จริงบริเวณโดยรอบปราสาทชูริทั้งหมด หรือที่เราเรียกว่า Shuri Castle Park นั้นประกอบหมู่อาคารและสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจหลายสิบจุด ซึ่งได้รับการบูรณะ และดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี โดยพื้นที่ทั้งหมดถูกกำหนดให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก และปราสาทชูริก็เป็นทั้งที่พำนักของราชารวมถึงเป็นที่ว่าการของ Shurijo Royal Government ด้วย และหลังได้รับการประกาศให้เป็นจังหวัดโอกินาวะ ปราสาทชูริจึงถูกใช้เป็นที่บัญชาการทหารของกองทหารญี่ปุ่น และยังเป็นโรงเรียนด้วย น่าเสียดายที่กองทัพสหรัฐฯ ได้เผาทำลายปราสาทชูริเสียเกือบราบคาบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1945) ทั้งๆ ที่ปราสาทชูริกำลังอยู่ในช่วงบูรณะ (ตั้งแต่ช่วงปี 1930) หลังสงครามที่นี่ก็ถูกใช้เป็นมหาวิทยาลัย (University of the Ryukyus) กระทั่งมีการมหาวิทยาลัยได้ที่ตั้งใหม่ ปราสาทจึงได้รับการปรับปรุงอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน 

และที่ชาวโอกินาวะภาคภูมิใจก็คือปราสาทชูรินั้น ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (World Heritage) เมื่อปี 2000 เช่นเดียวกับอีกหลายปราสาทของโอกินาวะ โดยเรียกรวมว่า “Gusuku Sites and Related Properties of the Kingdom of Ryukyu” ประกอบด้วย




1.   Shurijo Castle
2.   Sonohyan Utaki Stone Gate
3.   Tamaudun
4.   Shikina-En Gardens
5.   Nakijin Castle
6.   Katsuren Castle 
7.   Zakimi Castle
8.   Nakagusuku Castle และ
9.   Sefa Utaki 
ทั้งหมดนี้นับเป็นพื้นที่มรดกโลกลำดับที่ 11 ของประเทศญี่ปุ่น

พื้นที่ส่วนใหญ่ในปราสาทชูริ นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมได้ฟรี แต่ก็มีบางจุด บางพื้นที่ที่ต้องเสียค่าเข้าชม รวม 800 เยน ซึ่งก็ไม่ถือว่าแพงเลย ถ้าจะถูกเรียกเก็บไปเพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาสถานที่ แล้วก็มีกติกาบางอย่างที่ผู้มาเยือนควรให้ความเคารพ เพื่อให้การท่องเที่ยวประสารทชูริเป็นไปได้อย่างยั่งยืน อย่างเช่น สำหรับการเข้าตัวประสาทใหญ่จะต้องถอดรองเท้าใส่ถุงพลาสติกที่ทางเจ้าหน้าเตรียมไว้ให้ และคืนถุงเมื่อออกจากตัวปราสาท และมีข้อควรระวังในการมาเที่ยวชมตัวปราสาทชูริด้วย นั่นคือบางจุดไม่ได้รับการอนุญาตให้ถ่ายภาพได้ ทางปราสาทจะมีป้ายเตือนไว้อย่างชัดเจน และมีเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องอยู่ตลอดเวลา นักท่องเที่ยวทั้งหลายก็ควรให้ความเคารพในเรื่องนี้ด้วย


นอกจากความสวยงาม ศิลปะ และสถาปัตยกรรมที่แปลกตาและมีให้ชมได้ไม่กี่แห่งในญี่ปุ่นแล้ว ความน่ารัก น่าเที่ยวของปราสาทชูริอีกอย่างหนึ่ง (ซึ่งคนญี่ปุ่นเขามักจะใส่ใจรายละเอียดนี้กับทุกสถานที่อยู่แล้ว) ก็คือพื้นที่สำหรับผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เนื่องจากตัวประสาทมีหลายระดับ การเดินทางด้วยรถเข็น (Wheelchairs) ก็เลยดูเหมือนน่าจะลำบาก แต่สำหรับปราสาทชูริแล้ว เห็นได้ชัดเลยทีเดียวว่าเขาใส่ใจกันสุดๆ เพราะเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลแต่ละจุด จะต้องคอยช่วยเหลือ ผู้ที่ใช้ Wheelchair (รวมทั้งรถเข็นเด็ก) ให้เดินทางผ่านจุดที่ตนรับผิดชอบไปได้อย่างราบรื่น บางจุดจึงมีทางลาด ราวจับ บางจุดถึงกับมีราวเลื่อนอัตโนมัติ แล้วก็ลิฟต์สำหรับผู้พิการโดยเฉพาะ เรื่องนี้ที่นี่.. เด่นมากๆ 


พื้นที่นอกกำแพงปราสาทซึ่งยังคงอยู่ใน Shuri Castle Park ก็ร่มรื่น วิวทิวทัศน์ก็สบายตา จากกำแพงปราสาทสามารถมองเห็นเมืองนาฮาในมุมกว้างได้ด้วย ผู้ที่ชื่นชอบการเที่ยวชมปราสาทเชื่อว่าจะประทับใจกับการมาเยือนปราสาทชูริอย่างแน่นอน 


และที่ปราสาทชูริก็ยังมีจุดประทับตราที่ระลึกอยู่ทั่วไป ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถหยิบแบบฟอร์มสำหรับเช็คจุดประทับตราต่างๆ ในพื้นที่ Shuri Castle Park ได้จากจุดบริการ นี่เป็นกิจกรรมเพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติมาก ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ จะสนุกกับการตามล่าตราประทับกันทีเดียว แต่ถ้าอยากจะเก็บตราประทับที่ระลึกที่ Shuri Castle Park นี้ให้ครบจริงๆ คงจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่มากกว่าครึ่งวันเป็นแน่ เพราะว่าเยอะจริงๆ!

ปราสาทชูริ ตั้งอยู่ที่เมืองนาฮา (Naha City) ซึ่งเป็นเมืองหลักของจังหวัดโอกินาวะ เปิดบริการเกือบทุกวัน (ยกเว้นพุธและพฤหัสแรกของเดือนกรกฏาคม) 

เวลาเปิด-ปิด
   
เม.ย. – มิ.ย.     ตั้งแต่ 08.30 – 19.00 น.
ก.ค. – ก.ย.   ตั้งแต่ 08.30 – 20.00 น.
ต.ค. – พ.ย.   ตั้งแต่ 08.30 – 19.00 น.
ธ.ค. – มี.ค.   ตั้งแต่ 08.30 – 18.00 น.


ค่าเข้าชม 
   
ผู้ใหญ่       800 เยน
เด็กโต       600 เยน (High School)
เด็กเล็ก       300 เยน (ประถมและ Junior High)
เด็กต่ำกว่า 6 ปี   ฟรี   



ติดต่อสอบถามท่องเที่ยว




วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ประเพณีจับปลาด้วยนกกาน้ำ



ประเพณีจับปลาด้วยนกกาน้ำ  (Cormorant Fishing หรือ Ukai)


ประเพณีจับปลาด้วยนกกาน้ำ (Cormorant Fishing หรือ Ukai) ในแถบภาคกลางของญี่ปุ่น มีมาเนิ่นนานแล้วกว่า 1,300 ปี แล้วก็มีฤดูกาลชัดเจนเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้ประเพณีจับปลาด้วยนกกาน้ำที่แม่น้ำ Nagaragawa เริ่มต้นขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2014 ที่ผ่านมา



การจับปลาด้วยนกกาน้ำนี้ เป็นวิถีชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านญี่ปุ่นมาช้านาน โดยชาวประมงผู้เชี่ยวชาญการจับปลา โดยการฝึกหัด และบังคับนกกาน้ำ ถูกเรียกว่า “usho” จะเลี้ยงดูนกอย่างเอาใจใส่ ราวกับสัตว์เลี้ยง รวมทั้งสอนให้มันช่วยจับปลาให้ด้วย



แม่น้ำ Nagaragawa อยู่ในจังหวัดกิฟุ (Gifu Prefecture) มีชื่อเรื่องประเพณี ‘Ukai’ มาก ซึ่งเมื่อวันเปิดฤดูกาลจับปลาด้วยนกกาน้ำวันแรกของปีนี้ มีผู้นั่งเรือท่องเที่ยวเกาะติดไปชมประเพณีดังกล่าวกลางแม่น้ำถึงกว่า 1,092 คน (ใช้เรือประมาณ 44 ลำ) โดยเชื่อว่าปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาชมประเพณีราว 115,000 คน (มากกว่าปี 2013 ประมาณ 10,000 คน) ใครที่สนใจไปชมประเพณีโบราณนี้ ก็สามารถไปเที่ยวได้.. ตั้งแต่ 11 พฤษภาคม ถึง 15 ตุลาคม 2014 นี้

ติดต่อสอบถามรายละเอียด
http://www.iam-tour.com/

โรงละครคาบูกิโฉมใหม่!!!....ย่านกินซ่า



    The Kabukiza



                   การกลับมาของคาบูกิ ที่มีทั้งขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยความแรงบัลดาลใจและยังให้ร้สึกความคลาสสิคหรูหราและทำให้การบันเทิงด้านการแสดงละครนั้นเต็มไปด้วยสิ่งน่าสนใจมากขึ้นเพื่อผู้ชมศตวรรษที่ 21 


รงละครคาบูกิตอนนี้ก้ได้ถูกสร้างเป็นครั้งที่ 5 หลังสามปีที่มันเคยถูกปิดปรับปรุงมาตั้งแต่ เมษายน 2010 ตอนนี้มันได้ถูกสร้างขึ้นอีกครั้งด้วยโครงสร้างที่ทนทานขึ้นเพื่อทนต่อแรงแผ่นดินไหว


ในย่านช๊อปปิ้งบันเทิงหรู กินซ่า  คาบูกินั้นเป็นวัฒนธรรมการแสดงของญี่ปุ่นที่มีประวัติยาวนานกว่า 400 ปี  โดยเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ 1603 โดยนักแสงหญิงที่ชื่อว่า “ อิสุโมะ โนะ โอคุนิ”  โดยจัดแสดง dry bed ที่แม่น้ำคาโมะในเกียวโต และมันก็มีกลายเป็นที่นิยมมาถึงทุกวันนี้ โดยไม่มีการช่วยเหลือทางการเงินใดๆจากรัฐบาล   



คาบูกิ เป็นโรงละครแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีการแสดงคาบูกิต่อเนื่องตลอดทั้งปี ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 25 ของทุกๆเดือน     


ส่วนราคาตั้งแต่ 4000 เยน (ที่นั่งชั้นสาม) ไปจนถึง 20,000 เยน (box seat ชั้นหนึ่ง)  และราคาอาจปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในแต่ละเดือนขึ้นอยู่กับว่าดาราที่แสดงเป็นใคร    และที่นี่ยังมีสวนลอยฟ้าที่คุณสามารถชม รูปปั้นหิน ของ “KawatakeMokuami“ 
นักแสดงคาบูกิชื่อดัง    
                                                                                   “KawatakeMokuami“ 



ติดต่อสอบถามท่องเที่ยวญี่ปุ่น